เหตุใดผมถึงนึกรักพระแม่มารีย์
เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย
ทันทีที่ตั้งใจรำถึงถึงข้อความพระวรสารตอนที่ว่า “เธอจะตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชาย” (ลก. 1:31) ผมก็นึกถึงตอนที่ผมเรียนอยู่ปีที่ 3 ในบ้านเณรใหญ่ ในช่วงนั้นกระแสแนวความคิดเรื่องการผ่านกฎหมาย “ทำแท้งเสรี” กำลังเป็นหัวข้อหลักในการวิพากษ์ของสังคม (ปี พ.ศ. 2537) ถึงกับมีบางคนตั้งหัวข้อว่าเป็น “คดีความแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20”
ผมนึกถึงเวลาในช่วงนั้นได้เพราะมีการเขียนบทความพาดถึงคริสตศาสนาที่คัดค้านกฎหมายทำแท้งอย่างหัวชนฝาว่า มีเหตุผลมาจากว่า “คริสตศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกมีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์มาก และการตั้งท้องพระเยซูเจ้าก็เป็นเรื่องที่ไม่มีสาเหตุที่มนุษย์คนไหนจะยืนยันได้แจ้งชัด ซึ่ง ณ เวลานั้นถ้าพระนางมารีย์เลือกที่จะทำแท้งแทนการอุ้มท้องจนทารกได้ลืมตาดูโลกแล้ว ก็คงไม่มีคริสตศาสนาอย่างแน่นอน ชาวคริสต์จึงคัดค้านเรื่องกฎหมายการทำแท้งกันอย่างหัวชนฝา”
เมื่อผมได้อ่านบทความข้างต้น ผมก็ได้เขียนเหตุผลที่ต่อต้านเรื่องกฎหมายการทำแท้งของพระศาสนจักรไปให้กับทางสำนักพิมพ์ 2 ฉบับ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองอะไร เพียงแต่บทความเรื่องนั้นก็เงียบ ๆ หายไป
คิดดูแล้วกัน ! แม้เวลาผ่านมากกว่าสองพันปีแล้ว ก็ยังมีคนเข้าใจพระนางมารีอาผิด ๆ ในเรื่องการตั้งครรภ์ของพระนาง ก็ยังคนดูถูกค่อนแคะการตั้งครรภ์อันเป็นปริศนาของพระนาง คิดถูแล้วกันว่ากระแสแห่งความเข้าใจผิดแห่งการดูถูกค่อนแคะเหล่านี้ จะไม่ยิ่งพัดโหมหนักหน่วงพระนาง เมื่อกว่าสองพันปีที่แล้วหรือ
ในขวบปีนั้นพระนางมารีย์ต้องอาศัยความเชื่อ ความวางใจในพระเจ้า ความสงบหนักแน่น ความอดทน ความกล้าหาญอย่างมหาศาลที่จะยืนหยัดอยู่ให้ได้ ในท่ามกลางกระแสแห่งความสงสัย เข้าใจผิดค่อนแคะเหล่านั้น
และแล้พระนางก็สามารถข้ามผ่านวิกฤตการณ์เหล่านั้นมาได้ด้วยพระพรหลายประการ อย่างที่ผมกล่าวถึงแล้วในบทก่อน ๆ
“เธอจะตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชาย” ในอีกนัยหนึ่งพระนางมารีย์ได้รับการขนานนามว่า เป็นผู้มีบุญที่ได้โอบอุ้มพระวจนาตถ์ไว้ในครรภ์ ถึงกับมีเสียงตะโกนร้องออกจากฝูงชนว่า “ครรภ์ซึ่งให้กำเนิดท่าน และนางผู้นั้นซึ่งให้นมเลี้ยงท่านช่างมีบุญจริงหนอ!” (ลก. 11:27)
ซึ่งก็เป็นการสมควรที่สุดแล้ว ที่พระนางได้รับการยกย่องเช่นนั้น ในประสบการณ์นี้คนที่เป็นพ่อแม่พระสงฆ์ คงจะเข้าใจได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ
คนที่เป็นพ่อแม่พระสงฆ์ต่างรู้สึกปลื้มใจต่างรู้สึกมีบุญในวันที่ลูกชายของตนได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ เป็นความรู้สึกปลื้มปีติ มีความรู้สึกว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ เป็นความรู้สึกที่ดีและมีค่ามาก
พระเยซูเจ้าถึงได้ตอบกลับฝูงชนนั้นว่า “ท่านทั้งหลาย ที่ได้ยินพระวจนาตถ์ของพระเจ้าและปฏิบัติตามจะยิ่งมีความสุข ความปลื้มปีติ มีบุญยิ่งกว่านั้นอีก”
ใช่ ! เราเองก็อาจมีความรู้สึกปลื้มปีติเยี่ยงพระนางที่ทรงได้โอบอุ้มองค์พระวจนาตถ์ไว้ในครรภ์ได้ ถ้าเราเข้าใจชัดเจนถึงคุณค่าของพระวจนะ ถ้าเราเป็นเหมือนผืนนาแปลงนั้นที่อดุมไปด้วยขุมทรัพย์แห่งพระวจนะ (เทียบ มธ. 13:44) ถ้าเราสนใจฟังพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเรารู้จักเก็บพระวาจาของพระเจ้าที่ได้อ่าน หรือได้ฟัง มาคิดรำพึงมาใคร่ครวญ มาไตร่ตรอง และเป็นต้นอย่างยิ่งถ้าเรากระตือรือร้นที่จะปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้า
ใช่ ! เราเองก็อาจมีความรู้สึกปลื้มปีติเยี่ยงพระนางที่ทรงได้โอบอุ้มองค์พระวจนาตถ์ไว้ในครรภ์ไว้ ถ้าเราเดินเข้าไปรับศีลมหาสนิทด้วยความรู้สึกนึกคิดและความเข้าใจ ซาบซึ้งแจ้งชัดในหัวใจของเราอย่างแท้จริงว่า เรากำลังก้าวเข้าไปรับองค์พระวจนาตถ์ให้มาจุติในตัวของเรา ในชีวิตของเรา ในจิตวิญญาณของเรา ถ้าเราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เรากำลังเดินเข้าไปรับชีวิตของพระเข้ามาในชีวิตของเรามนุษย์ ถ้าเราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เรากำลังเดินเข้าไปรับเลือดเนื้อ ความรู้สึกนึกคิด และจิตวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาในตัวเรา และถ้าเราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เรากำลังยอมตายจากตัวเราเอง ยอมตายจากการยึดมั่นถือมั่นในอำเภอใจของเรา ยอมตายจากบาปของเรา เพื่อเปิดทางให้กับการมีชีวิตใหม่ในพระเจ้า
และในที่สุดเราอาจมีความรู้สึกปลื้มปีติเยี่ยงแม่พระ ที่ให้กำเนิดองค์พระเยซูคริตเจ้าได้ ถ้าเราทำให้การรับฟังพระวาจาของพระเจ้า และการรับศีลมหาสนิทบังเกิดผลในตัวของเรา ในความรู้สึกนึกคิดของเรา ในคำพูดของเรา ในการประกาศข่าวดีของเรา ในการทำความดีของเรา
ขอบคุณพระเป็นเจ้าที่ทรงพระเมตตาส่งองค์พระวจนาตถ์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเป็นแผนการที่มีบทสอนและมีคุณค่าต่อเรามนุษยชาติมากมายมหาศาลเหลือเกิน
ขอบคุณพระแม่มารีย์ที่ทรงตอบรับแผนการของพระเจ้าในการตั้งครรภ์และการให้กำเนิดองค์พระกุมารเยซู ด้วยความเชื่อ ความวางใจ และความสุภาพนอบน้อม ความกล้าหาญ ความสงบหนักแน่น เพราะการทำเยี่ยงนี้ของพระแม่มีบทสอน และมีคุณค่าต่อเรามนุษยชาติมากมายเหลือเกิน
ขอบคุณพระแม่มารีย์ที่ทรงตอบรับแผนการของพระเจ้าในการตั้งครรภ์ และการให้กำเนิดองค์พระกุมารเยซู ถึงแม้จะต้องเสี่ยงต่อการถูกเข้าใจผิด ต่อการเป็นที่สงสัยกังขา ต่อการดูถูกค่อนแคะของใครบางคนในสมัยนั้น และแม้ในกาลเวลาต่อมา ตราบจนทุกวันนี้
ขอบคุณพระแม่ที่ช่วยให้ผมเข้าใจคำกล่าวขององค์พระบุตรที่ว่า “แต่ท่านทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก”
ความรู้สึกของคนที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติตามนั้นเป็นความปลื้มปีติ เป็นความรู้สึกกว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ เป็นความรู้สึกที่ดีและทรงคุณค่าเยี่ยงนี้นี่เอง !
ขอบคุณพระแม่อีกครั้งในความกล้าหาญ และสุภาพ นอบน้อมอย่างมีดุลยภาพของพระแม่ต่อหน้าการตอบรับแผนการของพระเจ้า ในการก่อให้เกิดขุมทรัยพ์ทรงคุณค่ามากมายตามมาต่อมนุษยชาติ และต่อตัวผมเอง อย่างที่ผมได้เล่าขานไปบ้างแล้วในบางส่วน และจะเล่าขานอีกในบทต่อ ๆ ไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้ผมนึกรักพระแม่มารีย์ได้อย่างไร ??????