ไข่มุกเม็ดงาม
“อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะ ไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น” (มัทธิว 13 : 45-46)
ในสมัยที่พระเยซูตรัสคำอุปมานี้ ไข่มุกกำลังเป็นที่หลงใหลของคนทั่วไป การชื่นชมไข่มุกเป็นธรรมเนียม ของชาวอียิปต์ และชาวโรมันรับตกทอดมาอีกทีหนึ่ง น่าแปลกที่คนต้องการไข่มุก มิใช่เพราะมันมีราคา แต่เป็น เพราะความรู้สึกปีติยินดีที่ได้จับต้องและเพียงมองดู กฎหมายชาวยิวกล่าวถึงไข่มุกว่า มีราคายิ่งกว่าสิ่งใด ผู้ที่ เป็นพ่อค้าไข่มุกจะดั้นด้นไปในโลก เพื่อหาไข่มุกเม็ดงามจริงๆ โดยปกติ เขาหาไข่มุกได้จากทะเลแดง แต่ไข่มุก ที่งดงาม และมีราคาที่สุดมาจากอ่าวเปอร์เซีย อินเดีย และอังกฤษ
คำอุปมานี้เป็นเรื่องชายคนหนึ่งที่ใช้ทั้งชีวิตเพื่อเสาะหาไข่มุกเม็ดดีที่สุด เมื่อได้พบแล้ว เขาก็ขายทุกสิ่ง ที่มีอยู่เพื่อซื้อไข่มุกเม็ดนั้น
ผู้แสวงหา
เมื่อเราอ่านคำอุปมาเรื่องแรกคือ เรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ และเรื่องที่สองคือเรื่องไข่มุกที่มีราคามาก คำอุปมาทั้งสองแตกต่างกัน แต่ก็มีความสอดคล้องกันด้วย ในกรณีของคนที่พบขุมทรัพย์นั้น เป็นการบังเอิญ ส่วนพ่อค้าที่ค้นพบไข่มุกต้องใช้เวลาแสวงหาตลอดชีวิต จึงเป็นไปได้ที่คนจะพบแผ่นดินของพระเจ้าโดยบังเอิญ หรือพบเพราะการได้แสวงหาตลอดชีวิตด้วย
เปาโลเป็นเช่นนี้ เขาเป็นคนที่ได้แสวงหาสันติสุข ความชื่นชมยินดีในพระเจ้าตลอดชีวิต คริสตชนผู้ยิ่งใหญ่ ที่สังเวยชีวิตในศตวรรษที่สอง ชื่อจัสติน เล่าว่าเขาแสวงหาจากหลักปรัชญาหนึ่งไปสู่อีกหลักปรัชญาหนึ่งจน ในที่สุดได้ค้นพบเคล็ดลับแห่งสันติสุขในศาสนาคริสต์
มนุษย์เรามีหน้าที่ต้องใช้ความคิด เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าเขา จะพบแผ่นดินของพระเจ้าโดยบังเอิญ ก็ต้องทำเช่นนี้ด้วย คือเขาจะต้อง พิจารณาว่าแผ่นดิบของพระเจ้า หมายความว่าอย่างไร และมีความหมาย ต่อชีวิตของเขาอย่างไร ฉะนั้น จึงไม่ควร มีใครอายที่จะตั้งคำถามหรือมีข้อสงสัย หลายคนต้องสูญเสียความเชื่อไป เมื่อพบ ความเดือดร้อน ความทุกข์โศก และภัย พิบัติต่างๆ ทั้งนี้เพราะเขาไม่ค้นให้พบ สาเหตุที่แท้จริงเสียก่อนนั่นเอง
ความจําเป็นต้องเสียสละ
คำอุปมาพูดถึงความจำเป็นต้องเสียสละด้วย พ่อค้าจำเป็นต้องขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่ในอันที่จะได้ไข่มุก เม็ดล้ำค่าที่สุด ซึ่งหมายความว่าเขายอมสละสิ่งรองลงมา เพื่อจะได้สิ่งดีที่สุด การที่ใครคนหนึ่งจะได้สิ่งดีที่สุด ก็จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องสละสิ่งที่ดีรองลงมา
(1) เขาต้องละทิ้งเรื่องของวัตถุ อาจมีวิธีหาเงินบางอย่างที่ทำให้เราหลงออกจากทางของพระเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงาน การค้า หรือว่าการประกอบธุรกิจใด เราควรถามตัวเองว่า “ฉันทำงานนี้ได้หรือไม่ จำไว้ว่าพระเจ้ากำลังทอดพระเนตรดูอยู่ว่าฉันทำอะไร” นี่เป็นการทดสอบ ว่าเราควรเลิกอาชีพนั้นหรือไม่ หากมโนธรรมไม่ฟ้องเราล่ะก็ เราก็สามารถทำอาชีพนั้นต่อไปได้
(2) เขาต้องละทิ้งความสะดวกสบาย หน้าที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือการตระหนักถึงความ รับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราอดที่จะคิดถึงเรื่องของเศรษฐีหนุ่มเสียไม่ได้ (มัทธิว 19.15-22. มาระโก 10-17-22, ลูกา 18:18-23) ซึ่งเรื่องมีว่า พระเยซูคริสต์สั่งให้ชายหนุ่มคนหนึ่งขายทุกสิ่งที่เขา มีอยู่ และให้เงินทั้งหมดแก่คนจน จึงเกิดคำถามว่า “พระองค์ตรัสกับทุกคนเช่นนี้หรือไม่ หรือทรงใช้ กับเศรษฐีหนุ่มคนนั้น และคนอื่นๆ ที่อยู่ในกรณีเดียวกัน” พระเยซูไม่ได้ทรงตำหนิการมีทรัพย์ สมบัติมาก แต่พระองค์ทรงประณามการใช้ทรัพย์สมบัตินั้นอย่างเห็นแก่ตัวต่างหาก อันที่จริง ทรัพย์สมบัติเป็นเพียงตัวกลาง แต่การใช้มันอย่างไรต่างหากที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้ ที่ใครจะรับการทรงเรียกเป็นพิเศษ ให้เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อเห็นแก่คนขัดสน
(3) เขาอาจต้องละทิ้งความผูกพันที่เคยมีในชีวิตครอบครัว พระเยซูทรงต้องการให้เรามีความจงรักภักดี ต่อพระองค์สูงสุด พระองค์ตรัสกับสาวกว่า เขาอาจจะต้องละทิ้งคนที่เขารักและใกล้ชิดที่สุดเพื่อ เห็นแก่พระองค์ (มัทธิว 10:34 – 37) แต่พระองค์มิได้ทรงขอให้เขาทำสิ่งที่พระองค์เองไม่ได้ฟ้าก่อน เมื่อพระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจ เราเห็นชัดว่าพระองค์ทรงดำเนินชีวิตอย่างไร มีเพื่อนฝูงและญาติ พี่น้องของพระองค์พูดถึงพระองค์ว่า “วิกลจริตแล้ว” (มาระโก 3.2.1) ในโลกสมัยก่อน ศาสนาคริสต์ เป็นเหตุให้มีการแตกแยกในครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่า และเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังเกิดขึ้นในปัจจุบันด้วย เราอาจไม่ได้เผชิญเหตุการณ์เช่นนี้ แต่เราก็ต้องถือหลักที่จะให้พระเยซูเป็นที่หนึ่ง เหนือยิ่งกว่า ความสัมพันธ์อื่นใดในโลก
การผจญภัย
คำอุปมานี้ทำให้เห็นถึงการต้องผจญภัยในการนับถือศาสนาคริสต์ หากจะต้องสละละทิ้งทุกสิ่งเพื่อให้ได้ สิ่งที่ดีกว่า ก็นับเป็นการเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ควรที่จะสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้ไข่มุกเม็ดล้ำค่าที่สุด เป็นสิ่งที่แม้แต่ใน วงการธุรกิจเองถือว่าเสี่ยงอันตรายมาก
พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามา” อันที่จริงการติดตามพระองค์นั้นอันตรายมาก เพราะมีพวกเคร่งศาสนา ต่อต้านพระองค์ พวกฟาริสีและผู้ปกครองธรรมศาลาทั้งหลายต้องการกำจัดพระองค์ งานของพระองค์จึงดูเหมือน เป็นงานของผู้แพ้ ราวกับว่าพระองค์ทรงเชิญผู้คนมาพบกับความตาย ซึ่งพระองค์ทรงกล่าวในคำอุปมานี้ว่า “ท่านเต็มใจสละทุกสิ่ง ซึ่งหมายถึงความปลอดภัย ความมั่นคง ความสะดวกสบาย หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่อาจ ทำให้ถึงแก่ชีวิต เพื่อติดตามเราหรือ” ค่าแห่งการเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าคือการเต็มใจที่จะเสี่ยงนั่นเอง ในการ ติดตามพระเยซูจึงหมายถึงการต้องเสี่ยงอย่างไม่มีขอบเขต ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนติดตามพระองค์น้อย